Social
กางตำรา 'หลักโหร' VS 'หลักวิทย์' ทำนายชะตาราศี ล่วงรู้จริงหรือ?
7:13 PMโหราศาสตร์ : อ.ศิวนาถ ฤชุพันธุ์ นายกสมาคมโหรแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์ กล่าวถึงความเป็นมาเป็นไปของโหราศาสตร์ว่า โหราศาสตร์บังเกิดขึ้นมายาวนานมากกว่า 5,000 ปี ต่อมาหลักการดังกล่าวได้ถูกแพร่ขยายไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยประเทศไทยได้รับอิทธิพลจากประเทศอินเดีย พม่า และมอญ ซึ่งจะสังเกตได้ว่า ภาษาที่ใช้ในโหราศาสตร์ บางส่วนเป็นภาษาบาลีสันสกฤต
ขณะที่ หลักโหราศาสตร์นั้น มีมากมายหลายแขนง อาทิ โหราศาสตร์ไทย, โหราศาสตร์สากล, ยูเรเนียน, ลายมือ, ฮวงจุ้ย, โหงวเฮ้ง, ไพ่ยิปซี, ไพ่ออราเคิล เป็นต้น โดยส่วนตัว ตนใช้วิชาโหราศาสตร์ไทย, ไพ่ยิปซี, เลข 7 ตัว, ลายเซ็น ซึ่งศาสตร์ทั้งหลายเหล่านี้เป็นที่ยอมรับของสากล แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ขึ้นอยู่กับผู้ศึกษาด้วยว่า ผู้ศึกษามีความชำนาญเพียงใด และผู้ศึกษาสามารถสร้างความเชื่อถือให้ผู้คนยอมรับถึงความแม่นยำได้หรือไม่
“สมัยโบราณ นักโหราศาสตร์มักจะมีความเชี่ยวชาญในหลักวิชาดาราศาสตร์ เนื่องจากหลักการทั้งสองประเภทจะต้องถูกนำมาใช้ควบคู่กัน โดยนักโหราศาสตร์จะไม่ได้เรียนหลักดาราศาสตร์โดยตรง แต่จะใช้วิธีนำข้อมูลดาราศาสตร์ที่มีอยู่ในปัจจุบันมาใช้ผูกดวงชะตา” นายกสมาคมโหรฯ กล่าวถึงที่มาการดูดวงผ่านดวงดาว
โหราศาสตร์ : อ.ศิวนาถ ฤชุพันธุ์ นายกสมาคมโหรแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์ กล่าวถึงการนำดวงดาวมาใช้ในการทำนายโชคชะตาว่า จากการสันนิษฐานการดำรงชีวิตของผู้คนในอดีต จะพบว่า มนุษย์ทุกคนใช้ชีวิตด้วยการพึ่งพิงธรรมชาติ ดังนั้น มนุษย์จึงเริ่มสังเกตความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติในแต่ละวัน จนพบว่า โลกมีแสงสว่างและความดำมืด และนั่นก็คือ เวลากลางวัน และกลางคืน แต่มีมนุษย์ช่างสังเกตบางคน ได้สังเกตเห็นว่า ดวงดาวบนท้องฟ้าไม่ได้อยู่ในจุดๆ เดิมตลอดทุกวัน มิหนำซ้ำดวงดาวหลายต่อหลายดวงยังมีการเคลื่อนที่ไปยังจุดต่างๆ ทั่วท้องฟ้า
“มนุษย์ช่างสังเกตเฝ้าดูการเคลื่อนที่ของดวงดาวตลอดมา จึงได้พบว่า เมื่อใดก็ตามที่ดวงดาวดวงหนึ่งเคลื่อนที่ไปยังจุดใดจุดหนึ่งที่มันมักเคลื่อนที่ไปเสมอ การเคลื่อนที่ครั้งนั้น มักจะมีผลต่อโลกทุกครั้ง เช่น ส่งผลให้เกิดอากาศหนาว, อากาศร้อน, ฝนตก หรือเมื่อไหร่ก็ตามที่ดาวดวงหนึ่งเคลื่อนโคจรมาอยู่ใกล้ๆ โลก เช่น ดาวอังคารมักจะเกิดเภทภัยต่างๆ บนโลกมนุษย์เสมอ” นายกสมาคมโหรฯ ให้ความเห็นตามหลักโหราศาสตร์
ขณะที่ หลักวิทยาศาสตร์สามารถพิสูจน์ได้ว่า การเคลื่อนท่ีของดวงจันทร์นั้น มีผลต่อน้ำขึ้นน้ำลง “ดังนั้น การเคลื่อนที่ของดวงดาวในหลักโหราศาสตร์ มีผลต่อชีวิตมนุษย์อย่างไร?” ผู้สื่อข่าวถามนายกสมาคมโหราศาสตร์ฯ ซึ่งได้รับคำตอบจากนายกฯ ว่า “อาจารย์เคยอ่านตำราเล่มหนึ่ง ซึ่งมีนายแพทย์ท่านหนึ่งระบุถึงการผ่าตัดผู้ป่วยไว้อย่างน่าฉงนว่า ทำไมในช่วงเวลาข้างขึ้น การผ่าตัดผู้ป่วยถึงมีเลือดออกเป็นจำนวนมาก และเหตุการณ์ของแพทย์ท่านนี้ ย่อมสะท้อนให้เห็นว่า ในร่างกายของมนุษย์มีเลือด ซึ่งเลือดก็คือน้ำ ดังนั้น พระจันทร์ย่อมมีผลต่อชีวิตมนุษย์อย่างแน่นอน”
โดย ดร.ศรัณย์ กล่าวถึงการนำดวงดาวมาใช้ทำนายชะตาชีวิตว่า เรื่องราวจำพวกดูดวง การทำนายราศีลัคนา หรือเรื่องราวที่เกี่ยวกับความเชื่อเหล่านี้ ไม่มีผู้ใดสามารถหักล้างได้ แต่หลักวิทยาศาสตร์สามารถพิสูจน์และหักล้างความคิดนี้ได้ กล่าวขยายความให้เข้าใจได้โดยง่ายคือ หลักวิทยาศาสตร์สามารถพิสูจน์ได้ว่า พระอาทิตย์ไม่ได้ขึ้นทางทิศตะวันตก แต่เราไม่สามารถพิสูจน์ได้เลยว่า ผีมีจริง ซึ่งโหราศาสตร์ก็เช่นกัน
โหราศาสตร์ : นายกสมาคมโหรแห่งประเทศไทยฯ ได้อธิบายถึงชื่อเรียก และความหมายของดวงดาวต่างๆ ไว้ว่า ดวงอาทิตย์เปรียบเป็นชื่อเสียงเงินทอง หรือหน้าตาทางสังคม เนื่องจากพระอาทิตย์เป็นเจ้าแห่งระบบสุริยะ, ดาวเสาร์ คือดวงดาวที่โคจรได้ไกลที่สุดในระบบสุริยะ โดยดาวเสาร์เป็นดาวแห่งความทุกข์เศร้า เพราะฉะนั้น เมื่อใดก็ตามที่ดาวเสาร์โคจรทับลัคนาของใครคนหนึ่ง จะส่งผลให้บุคคลนั้นๆ มีแต่ความทุกข์, ดาวศุกร์ คือดวงดาวที่มีความสว่างสดใส จึงถูกเปรียบเทียบให้เป็นตัวแทนของความสวยงาม นั่นก็คือ เหล่าดารานักแสดง นางงาม หรืออาชีพที่ต้องใช้ความสวยความงาม
ส่วนดาวพฤหัส คือตัวแทนแห่งความซื่อตรง ความเท่ียงตรงยุติธรรม, ดาวพุธ เปรียบเป็นดาวที่ซอกแซก เฉลียวฉลาด ติดต่อธุรกิจเก่ง หรือเป็นนักสื่อสาร, ดาวอังคาร เป็นดวงดาวแห่งสงคราม หากดาวอังคารปรากฏในช่วงเดือนที่ชะตาชีวิตไม่ดี อาจส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุ, ดวงจันทร์ เคลื่อนที่เร็ว เนื่องจากอยู่ใกล้โลกที่สุด ดังนั้น ดวงจันทร์จึงเปรียบเสมือนการเปลี่ยนแปลงง่าย และราหู ไม่ใช่ดวงดาว แต่ราหูคือเงา
ผู้สื่อข่าวถามนายกสมาคมโหรฯ ถึงการเปรียบเทียบดวงดาวแต่ละดวงว่า “ผู้คิดค้นหลักการเปรียบเทียบดวงดาวข้างต้นใช้หลักการอันใด?” ศิวนาถ ฤชุพันธุ์ นายกสมาคมโหร ตอบกลับว่า ผู้คนในสมัยโบราณมีเวลาว่างค่อนข้างมาก จึงสังเกตการเคลื่อนที่ของดวงดาวเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนโลก และบันทึกไว้เป็นสถิติ ดังนั้น การเคลื่อนที่ของดวงดาว จึงมีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์ จึงทำให้มนุษย์มีชะตาชีวิตที่แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นสุข ทุกข์ หรือเศร้า
ดร.ศรัณย์ กล่าวตามหลักวิทยาศาสตร์ว่า มนุษย์เห็นดาวอังคารสีแดง จึงตีความว่าเป็นดวงดาวสีเลือด ทั้งๆ ที่อันที่จริงแล้วบนดาวอังคารมีออกไซด์บนพื้นผิว จึงทำให้มีสีแดงเรื่อ ส่วนดาวศุกร์ที่มนุษย์บอกว่าสุกสว่าง เปรียบเสมือนดาวแห่งความรัก ซึ่งอันที่จริงแล้วดาวศุกร์มีวงโคจรใกล้ดวงอาทิตย์มากกว่าโลก ขณะที่ ดาวพฤหัส มนุษย์บอกว่า มีความสว่างคงที่ จึงเปรียบเป็นนักปราชญ์ ซึ่งอันที่จริงแล้ว ดาวพฤหัสบดีเป็นวัตถุที่สว่างที่สุดเป็นอันดับที่ 4 ในท้องฟ้า แม้กระทั่ง ดาวเสาร์ ที่มนุษย์ต่างเปรียบเทียบว่าเป็นความทุกข์ ความเชื่องช้า โดยให้เหตุผลว่า ใช้ระยะเวลาในการโคจรในทางโหราศาสตร์ประมาณ 2 ปีครึ่ง
“ในแต่ละศาสนาวัฒนธรรม ล้วนแล้วแต่มีความเชื่อทางโหราศาสตร์แตกต่างกัน โดยเฉพาะในศาสนาอิสลาม ได้ระบุข้อห้ามไว้ชัดเจนว่า อิสลามไม่มีสิ่งสมมติ ดังนั้น ห้ามเชื่อเรื่องดวงชะตา ราศี ผูกดวง ห้ามถือโชคลางของขลัง โดยศาสนาอิสลามให้เหตุผลว่า เรื่องราวเหล่านี้ไร้สาระ เป็นวิชาของพวกผี และเป็นเรื่องไม่ควร” รอง ผอ. สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ กล่าว
โหราศาสตร์ : “เราจะรู้ได้อย่างไรว่า โหราศาสตร์ คือ ความถูกต้องแม่นยำและพิสูจน์ได้ มิใช่เป็นเพียงแค่ความเชื่อ?” ผู้สื่อข่าวยิงคำถามไปที่นายกสมาคมฯ เขาตอบกลับมาในทันทีว่า โหราศาสตร์สามารถพิสูจน์ได้ด้วยวิธีการง่ายๆ กล่าวคือ เมื่อนาย ก.มาดูดวง สิ่งที่นักโหราศาสตร์ทำนายให้นาย ก. มีความแม่นยำตรงกันกับชีวิตนาย ก. หรือไม่ หากตรงก็ย่อมเป็นเครื่องพิสูจน์ให้แก่หลักโหราศาสตร์ได้เป็นอย่างดี
“หากไม่ตรง ถือว่าเป็นความเชื่อ และไม่สามารถพิสูจน์ได้เช่นนั้นหรือ?” ผู้สื่อข่าวถามต่อ โดยนายกสมาคมฯ ตอบมาในทันทีอีกว่า หากไม่ตรง ไม่ได้หมายความว่า โหราศาสตร์นั้น พิสูจน์ไม่ได้ แต่แปลว่า องค์ความรู้ของนักโหราศาสตร์ท่านนั้นๆ ยังขาดประสบการณ์ ขาดความรู้ และขาดความเข้าใจโดยแท้
“ผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็น นักโหราศาสตร์ จะต้องมอบความจริง มอบคุณธรรมให้แก่ผู้ฟังคำทำนาย ส่วนผู้ฟังคำนายก็ควรฟังอย่างมีสติ และเมื่อรู้ผลการทำนายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หากผู้ฟังพบว่า ชะตาชีวิตเป็นไปในทางร้าย ก็ควรคิดวิเคราะห์หาทางแก้ไช และในทางตรงกันข้าม หากพบว่า ชะตาชีวิตในอนาคตนั้นดี ก็ไม่ควรประมาท เพราะหลักโหราศาสตร์คือทำให้รู้ความเป็นไปแห่งชีวิต และตั้งอยู่ในความไม่ประมาท” อ.ศิวนาถ นายกสมาคมโหรฯ เตือนคอดูดวงทั้งหลาย
รองผอ.สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ กล่าวถึงนักโหราศาสตร์ว่า บุคคลเหล่านี้มี 2 ประเภท ดังนี้ ประเภทที่ 1 บุคคลกลุ่มนี้ไม่ได้หลอกลวงประชาชน แต่เขาเชื่อเรื่องราวเหล่านี้อย่างจริงจัง จนกระทั่งกลายเป็นเรื่องจริงของเขาเอง แต่ไม่จริงสำหรับคนอื่น และประเภทที่ 2 บุคคลกลุ่มนี้ยกตนเป็นผู้วิเศษ เรียกตนเองว่า หมอดู และหากินกับความเชื่อของประชาชน
“โดยธรรมชาติของคนไทย เป็นพวกสรรหาความงมงายอยู่เป็นนิจ หากเราเลือกสละความงมงาย แล้วเปลี่ยนมาใช้เหตุผลกับบ้านเมือง ผมเชื่อว่า สังคมจะดีขึ้นมาก” ดร.ศรัณย์ ทิ้งท้ายคมคาย
จิตแพทย์ : ทีมข่าวสอบถามมุมมองความเห็นจาก นพ.ชิโนรส ลี้สุวรรณ รองอธิบดีกรมสุขภาพจิตถึงเรื่องราวความเชื่อทางโหราศาสตร์ ซึ่งได้รับคำตอบว่า โหราศาสตร์เป็นความเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งมีอยู่ในทุกๆ ประเทศ แต่สำหรับผู้คนในบางประเทศ ทันทีที่พวกเขาเกิดความไม่สบายใจ หรือความทุกข์ บุคคลเหล่านี้จะเลือกไปพบจิตแพทย์ ซึ่งสวนทางกับประเทศไทย เพราะเมื่อคนไทยเกิดความเครียด คนไทยมักเลือกไปพบพระ หรือหมอดู ดังนั้น ทุกคนในสังคมไทยควรใช้วิจารณญาณ และคิดวิเคราะห์ในเรื่องดังกล่าวให้ถี่ถ้วน เพื่อไม่ตกเป็นเหยื่อจากค่านิยมที่ผิดเพี้ยน
“โดยส่วนตัวผมไม่อ่านเรื่องการทำนายดวงชะตา ราศี เนื่องจากไม่มีความเชื่อ และไม่สนใจกับเนื้อหาที่ผ่านตาอยู่ในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์ก” รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวจากความรู้สึก
สุดท้าย โหราศาสตร์จะเป็น “เรื่องลวง” หรือ “ล่วงรู้” ไม่ได้อยู่ที่ “หมอดู”
แต่ขึ้นอยู่กับ “สติ” ของคุณเท่านั้นเอง
อ่านต่อที่http://www.thairath.co.th/content/568508
0 comments